วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

                                                     
       


 โคลนนิ่ง คืออะไร 


ตามความหมาย โคลนนิ่ง (Cloning) หมายถึงการคัดลอก หรือทำซ้ำ (copy) นั่นเอง สำหรับทางการแพทย์ หมายถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ ซึ่งมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนของเดิมทุกประการ การโคลนนิ่งเกิดอยู่เสมอในธรรมชาติ ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนได้แก่ การเกิดฝาแฝดเพศเดียวกันและหน้าตาเหมือนกัน นั่นเอง กระบวนการโคลนนิ่งที่มนุษย์ทำขึ้น ได้นำมาใช้เป็นเวลานานแล้วโดยเราไม่รู้ตัว ได้แก่การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช และตัวอ่อนสัตว์ โดยการแยกเซลล์ ซึ่งทำกันทั่วไปในวงการเกษตร

แต่ข่าวที่เป็นที่น่าตื่นเต้นในวงการวิทยาศาตร์การแพทย์ไปทั่วโลก ได้แก่ การทำโคลนนิ่งแกะ ที่ชื่อว่า ดอลลี่ นับเป็นการค้นพบครั้งใหม่ของวงการทีเดียวดอลลี่ เกิดมาได้ยังไง






แต่ข่าวที่เป็นที่น่าตื่นเต้นในวงการวิทยาศาตร์การแพทย์ไปทั่วโลก ได้แก่ การทำโคลนนิ่งแกะ ที่ชื่อว่า ดอลลี่ นับเป็นการค้นพบครั้งใหม่ของวงการทีเดียวดอลลี่ เกิดมาได้ยังไง 


สถาบัน รอสลิน ผู้สร้างดอลลี่ขึ้นมา โดยใช้เซลล์จากเต้านมของแกะหน้าขาวตัวหนึ่งซึ่งเจริญเต็มที่ ดูดเอานิวเคลียสของเซลล์ออกมา แล้วนำไปใส่ในไข่ที่ดูดมาจากรังไข่ของแกะหน้าดำ ซึ่งได้ดูดเอานิวเคลียสทิ้งไป เมื่อนำไปใส่แล้ว ก็นำเซลล์ที่ได้ ไปใส่ในโพรงมดลูกของแกะหน้าดำตัวเดิม ให้เกิดการฝังตัวและตั้งครรภ์ได้ เมื่อครบกำหนด ออกมาลูกของแกะหน้าดำที่คลอดออกมากลับกลายเป็นแกะหน้าขาว ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกับแกะหน้าขาว เจ้าของเซลล์เต้านมทุกประการแล้วมันแปลกยังไง เป็นความรู้ใหม่ตรงไหน 


ความรู้จากการค้นพบใหม่นี้ มีหลายประการได้แก่
เป็นครั้งแรกที่สามารถทำให้เกิดการสืบพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ (Asexual reproduction) ได้ในสัตว์ชั้นสูงเช่นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งแต่เดิมมา การสืบพันธุ์จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยสารพันธุกรรมในโครโมโซม ครึ่งหนึ่งมาจาก sperm ของพ่อ (n) และอีกครึ่งหนึ่ง มาจากไข่ของแม่(n) แต่การโคลนนิ่งที่เกิดขึ้นนี้ สารพันธุกรรมในโครโมโซมทั้งหมด (2n) มาจากต้นกำเนิดเดียวกัน คือ เซลล์เต้านมเซลเดียว
เป็นครั้งแรกที่พบว่า เซลล์ที่มีการจำแนกชนิด (differentiation) แล้ว ซึ่งทำหน้าที่เฉพาะ และไม่ทำหน้าที่อื่นอีก เช่น เซลล์เต้านม ซึ่งทำหน้าที่ผลิตน้ำนมแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ทำหน้าที่อื่น สามารถย้อนกลับไปเป็นเซลล์ที่ไม่จำแนกชนิด (undifferentiated cell) เพื่อสามารถจำแนกชนิดได้อีกครั้ง กลายเป็นเซลล์สำหรับอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อ, สมอง, ผิวหนัง, เลือด, อวัยวะต่าง ๆ
ทำให้เราได้ทราบว่า มีปัจจัยบางอย่าง (ซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร) ซึ่งน่าจะอยู่ในไข่ ส่วน cytoplasm สามารถทำให้ยีนหรือสารพันธุกรรม ซึ่งถูกหยุดการทำงานไปแล้ว เนื่องจากการจำแนกชนิด ให้กลับมาทำงานได้อีก ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า เซลล์ทุกชนิดในร่างกายของเรา มีสารพันธุกรรมเหมือนกันทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว, เซลล์ตับอ่อน, แม้กระทั่งเซลล์ประสาท แต่การที่เซลล์เม็ดเลือดขาวสามารถจับกินเชื้อโรคได้ แต่สร้างฮอร์โมนอินสุลินไม่ได้ ในขณะที่เซลล์ตับอ่อน สามารถสร้างฮอร์โมนอินสุลินได้ แต่จับกินเชื้อโรคไม่ได้ เนื่องจากเซลล์เหล่านี้ มียีนบางตัวที่ถูกหยุดการทำงานไปแล้ว และบางตัวยังคงทำงานอยู่ไม่เหมือนกันในแต่ละชนิดของเซลล์แล้วมนุษย์เราได้ประโยชน์จากความรู้นี้ยังไงบ้าง 



ประโยชน์ที่ได้รับจากโคลนนิ่ง       ได้แก่
ทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้เข้าใจขบวนการทำงานของยีน และการจำแนกชนิดของเซลล์ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ได้ในการแพทย์ เช่น ในอนาคตเมื่อเราทราบปัจจัยที่ทำหน้าที่ ปิด หรือเปิด การทำงานของยีน จะสามารถนำมารักษาโรคได้ เช่น ผู้ป่วยสมองตายจากอัมพาต ในอนาคตอาจสามารถกระตุ้นให้เซลล์สมอง แบ่งตัวทดแทนเซลล์ที่ตายไปได้ หรือผู้ป่วยที่ไตวาย สามารถกระตุ้นการทำงานและแบ่งตัวเซลล์ไตที่เหลืออยู่ให้ทำหน้าที่ทดแทนได้
มีประโยชน์ในการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์และพืชหายาก และใกล้สูญพันธุ์ ให้แพร่ขยายจำนวนขึ้นได้รวดเร็วกว่าการผสมกันตามธรรมชาติ
คู่สมรสที่ไม่มีโอกาสให้กำเนิดบุตรด้วยวิธีอื่น อาจมีโอกาสได้บุตรมากขึ้น
ด้านการปลูกถ่ายอวัยวะ อาจได้อวัยวะที่เข้ากันได้ ลดความเสี่ยงต่อการใช้ยากดภูมิคุ้มกันแล้วไม่มีข้อเสียหรือโทษบ้างเลยหรือ 


ข้อระมัดระวัง และประเด็นสำคัญของโคลนนิ่ง ที่สำคัญที่สุดในด้านจริยธรรม ทำให้เกิดความหวาดกลัวจนประธานาธิบดี บิล คลินตัน สั่งระงับการค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้ไว้ก่อน ได้แก่
การทำโคลนนิ่งทำให้เกิดการคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีในการเป็นต้นแบบ ซึ่งปัญหาอยู่ที่ว่า เราใช้อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าลักษณะอย่างใด ที่เรียกว่าดี อย่างไรไม่ดี เนื่องจากลักษณะอย่างหนึ่ง ในสถานการณ์หรือสภาวะหนึ่ง อาจเป็นสิ่งดี แต่อีกสถานการณ์หนึ่งอาจจะไม่ดีก็ได้ เช่น ผิวดำ กับ ผิวขาว ดีหรือไม่, กรุ๊ปเลือดอะไร ฯลฯ
ความเหมือนกัน ทำให้สูญเสียความมีเอกลักษณ์ และความหลากหลาย อันเป็นต้นกำเนิดของวิวัฒนาการ ถ้าทุกคนทุกชีวิต เหมือนกันหมด จะไม่มีการพัฒนาสายพันธุ์ที่ดีขึ้น
การทำโคลนนิ่งในมนุษย์ด้วยจุดประสงค์อันใดก็ตาม ก่อให้เกิดปัญหาจริยธรรมตามมามากมาย เช่น การทำโคลนนิ่งเพื่อต้องการอวัยวะมาเปลี่ยน แล้วจะถือว่าสิ่งที่โคลนขึ้นมาเป็นมนุษย์ด้วยหรือไม่ หรือเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตธรรมดา, ปัญหาทางกฎหมาย ใครเป็นตัวจริง ตัวปลอม, การพิสูจน์บุตร, การค้นหาผู้กระทำผิดในคดีต่าง ๆ, การจำแนกคนโดยใช้การตรวจ DNA เป็นต้น

โดยสรุปแล้ว เห็นได้ว่าการทำโคลนนิ่งเป็นการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง แต่มีประเด็นตามมาอีกมากมาย ทั้งในทางบวกและลบ แต่ควรตระหนักไว้ว่า "การค้นพบความจริงทางธรรมชาติเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์เสมอ แต่จะเกิดโทษหรือไม่ขึ้นกับว่ามนุษย์นำความรู้นี้ ไปประยุกต์ใช้อย่างไร"



วิธีการโคลนนิ่ง
ในการโคลนนิ่งเป็นการนำเอานิวเคลียสของเซลล์ต้นแบบไปถ่ายฝากในเซลล์ไข่ที่ดูดเอานิวเคลียสออกแล้ว จึงเอานิวเคลียสของเซลล์ต้นแบบไปผ่านกระแสไฟฟ้า เพื่อเหนี่ยวนำให้ผนังเซลล์หลอมติดกันแล้วจึงนำไปเพาะเลี้ยงให้มีการพัฒนาเป็นเอ็มบริโอจนถึงระยะย้ายฝากได้
การเตรียมเซลล์ไข่เพื่อรับการถ่ายฝากนิวเคลียส ใช้เซลล์ไข่มาทำการเพาะเลี้ยงให้ไข่อ่อนเจริญจนถึงระยะเมตาเฟส II ในห้องปฏิบัติการในน้ำยาเพาะเลี้ยง TCM 199 ที่เสริมด้วยฮอร์โมน ในอุณหภูมิ 39 องศาเซลเซียส และสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมมีความชื้นสูงเป็นเวลา 20 ถึง 24 ชั่วโมง เซลล์ไข่จะสุกถึงระยะเมตาเฟส II สังเกตจากเซลล์หุ้มเซลล์ไข่กระจายออกมาก นำเซลล์ไข่เหล่านี้มาดูดเอานิวเคลียสออกภายใต้กล้องจุลทรรศน์ที่ติดตั้งเครื่องมือจุลศัลยกรรม โดยมีปิเปตแก้วดูดจับเซลล์ไข่ไว้และปิเปตอีกข้างจะทำหน้าที่เจาะเซลล์ไข่เพื่อดูดเอานิวเคลียสออกมา ปิเปตแก้วเล็กๆนี้ได้รับการแต่งปลายให้เหมาะสมกับการใช้งาน จากนั้นใช้ปิเปตที่ดูดนิวเคลียสไปจับเซลล์ต้นแบบแล้วนำไปใส่ในเปลือกหุ้มเซลล์ไข่ ผนังเซลล์ทั้งสองจะสัมผัสกันจึงนำไปหลอมเซลล์ทั้งสองเข้าด้วยกัน ด้วยเครื่องหลอมเซลล์ ( electrofusion ) โดยใช้กระเสไฟฟ้าที่เหมาะสม นิวเคลียสที่เป็นเซลล์ต้นแบบอาจจะมาจากเซลล์เอ็มบริโอหรือเซลล์ร่างกายชนิดต่างๆนำเซลล์ที่หลอมแล้วมาทำการเพาะเลี้ยงต่อเพื่อให้มีการแบ่งตัวเป็นเอ็มบริโอจนถึงระยะนำไปย้ายฝากได้ การผลิตเอ็มบริโอเพื่อใช้เป็นเซลล์ต้นแบบ เอ็มบริโออาจได้จากการผสมตามธรรมชาติหรือผสมเทียมแล้วชะล้างออกมาจากตัวแม่หรือได้จากการผสมในหลอดทดลอง โดยเซลล์ไข่สุกที่ได้จากการเพาะเลี้ยง 20 ถึง 24 ชั่วโมงจะถูกนำมาปฏิสนธิกับเซลล์อสุจิของโคตัวผู้ซึ่งอาจเป็นเซลล์อสุจิที่ได้จากน้ำเชื้อสดหรือน้ำเชื้อแช่แข็งก็ได้ นำมาคัดเลือกเซลล์อสุจิโดยให้ว่ายน้ำขึ้นในน้ำยาเพื่อให้ได้เซลล์อสุจิที่มีอัตราการเคลื่อนไหวดี และนำมาเตรียมความพร้อมของหัวเซลล์อสุจิโดยใช้สารเฮปพาริน จึงนำไปผสมกับเซลล์ไข่โดยใช้เซลล์อสุจิที่มีคามเข้มข้น 1x106เซลล์/มิลลิลิตร เพาะเลี้ยงภายในเวลา 20 ชั่วโมง แล้วนำมาเพาะเลี้ยงร่วมกับเซลล์บุท่อนำไข่ เป็นเวลาประมาณ 4 ถึง 7 วัน แล้วแต่การเลือกใช้เซลล์จากเอ็มบริโอระยะใดอาจเพาะเลี้ยงจนหลุดออกจากเปลือกหุ้มและเกาะติดจานแก้วทำให้ได้เซลล์ที่เรียกว่าเซลล์ต้นกำเนิดเอ็มบริโอจึงจะนำมาใช้เป็นเซลล์ต้นแบบได้
แม้ว่าการโคลนนิ่งจะมีความน่ากลัวเป็นเงาแฝงอยู่ในแง่ที่ว่านักวิทยาศาสตร์สามารถโคลนนิ่งมนุษย์ได้ แต่ถ้าสังคมมีกฎเกณฑ์และกฏหมายการโคลนนิ่งมนุษย์ การโคลนนิ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไปแต่เป็นการให้ประโยชน์มากกว่า
3 รูปแบบกับการโคลนนิ่ง
เอ็มบริโอ โคลนนิ่ง เป็นการสร้างแฝดเหมือนจากไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว โดยเริ่มการโคลนนิ่งโดยการกระตุ้นไข่ที่ผสมแล้วให้แบ่งเป็นตัวอ่อน เป็น ๒, ๓, ... ตัว โดยทั้งหมดจำมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกันทั้งหมด วิธีการนี้ มีการใช้กับสัตว์หลายพันธุ์ หลายชนิดมาแล้วหลายปี แต่กับคน ยังอยู่มีการทดลองในวงแคบๆ
ดีเอ็นเอ โคลนนิ่ง เป็นการจำลองพันธุกรรมจากสัตว์หรือมนุษย์ที่โตเต็มวัย เพื่อสร้างให้เหมือนกับต้นแบบ โดยการแยกนิวเคลียสออกจากไข่ กระจุ้นด้วยไฟฟ้าเพื่อประสานนิวเคลียสจากเซลล์ต้นแบบเข้าแทนที่ และนำไข่ที่ประสานนิวเคลียสแล้วถูกกระตุ้นให้แบ่งตัวเป็นตัวอ่อน และนำตัวอ่อนกลับไปไว้ที่ 'แม่' สิ่งที่ได้ออกมาจะมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกับ 'ต้นแบบ' แกะดอลลี่ ใช้วิธีการโคลนนิ่งแบบนี้
การโคลนเพื่อสร้างอวัยวะ ใช้วิธีการแบบ ดีเอ็นเอ โคลนนิ่ง แต่จะทำเฉพาะอวัยวะเป็นส่วนๆ เพื่อนำอวัยวะมาทดแทนส่วนที่เสื่อมสภาพของเจ้าของเซลล์








วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556





ประวัติความเป็นมาของเทียนพรรษาเมืองอุบลฯ

พรรษา คือ ช่วงระยะเวลา 3 เดือนในฤดูฝนที่พระภิกษุสงฆ์จะต้องปฏิบัติธรรมอยู่วัดใดวัดหนึ่งโดยตลอดจะไปค้างคืนที่วัดอื่นไม่ได้ ข้อห้ามที่ให้พระอยู่วัดใดวัดหนึ่งตลอด 3 เดือนนี้ เพราะฤดูฝนเป็นฤดูเพาะปลูก ข้าวกล้าพืชผลของชาวบ้านกำลังเขียวขจี ถ้าพระออกเดินทางในฤดูนี้จะไปเหยียบย่ำข้าวกล้าพืชผลของชาวบ้านเสียหายได้ พระพุทธเจ้าจึงได้บัญญัติให้พระภิกษุสงฆ์หยุดเข้าพรรษาหรือหยุดพักฝน 3 เดือนไม่ให้จาริกเดินทางไปค้างคืนที่อื่นๆ (เข้าพรรษาแปลว่าพักฝน) การเข้าพรรษาจึงมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลหรือตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า

  วันเข้าพรรษา คือ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติหรืออยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคมแล้วนับไปอีก 3 เดือนก็จะเป็นวันออกพรรษา ซึ่งจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรืออยู่ในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี เมื่อพระต้องหยุดพักฝนหรือหยุดเข้าพรรษาทำให้พระมีเวลาศึกษาหาความรู้โดยเฉพาะการอ่านหนังสือ เวลาอ่านหนังสือให้เข้าใจและจดจำได้ดีที่สุดคือเวลากลางคืน ซึ่งเป็นช่วงที่เงียบสงบทำสมาธิได้ง่าย ในสมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าเวลาพระจะอ่านหนังสือจึงจุดเทียน เมื่อชาวบ้านทราบจึงทำเทียนไปถวายพระ โดยเฉพาะการถวายในวันเข้าพรรษา ซึ่งถือว่าได้บุญกุศลมากยิ่งนัก นั่นคือจะทำให้ชีวิตของผู้ถวายมีความสุขสบาย สว่างไสว ไม่มืดมน หรืออีกนัยหนึ่งเป็นผู้มีปัญญา มีความรู้ เฉลียวฉลาดนั่นเอง ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Bright การถวายเทียนแด่พระในวันเข้าพรรษาจึงเป็นประเพณีของชาวพุทธมาแต่โบราณกาลนับเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แต่ในปัจจุบันชาวบ้านสมัยใหม่จะนิยมถวายหลอดไฟฟ้าแทน เพราะมีความสว่างมากกว่าเทียน ใช้งานง่าย สะดวก และได้บุญกุศลมากเช่นกัน
    ชาวอุบลฯ ก็เหมือนกับชาวพุทธทั่วไป เมื่อถึงวันเข้าพรรษาก็จะนำเทียนไปถวายพระ ในสมัยก่อนยังไม่มีเทียนสำเร็จรูปขาย ชาวบ้านจะใช้ขี้ผึ้งซึ่งได้จากรังผึ้งมาต้มให้ละลายแล้วเอาฝ้ายที่จะทำเป็นไส้เทียนจุ่มลงไปในน้ำผึ้งที่ละลายนั้น ปล่อยให้เย็นพอที่จะเอามือคลึงให้ขี้ผึ้งโอบล้อมไส้เทียนให้เต็ม (วิธีการแบบนี้ชาวอุบลฯ เรียกว่า “ฟั่นเทียน”) จากนั้นนำมาตัดตามขนาดที่ต้องการ เสร็จเรียบร้อยก็จะเป็นเทียนที่พร้อมนำไปถวายพระได้
 การนำเทียนไปถวายพระของชาวอุบลฯ ในสมัยก่อน ไม่ได้มีการแห่แหนหรือการประกวดประชันกันอย่างทุกวันนี้ เป็นแต่เพียงการถวายเทียนพร้อมกับเครื่องไทยธรรมไทยทานอื่นๆ รับศีลรับพรจากพระ

     แล้วก็กลับบ้าน สาเหตุที่การถวายเทียนจะต้องมีการแห่แหนและมีการประกวดประชันอย่างทุกวันนี้ เล่ากันว่าเริ่มมีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้เป็นข้าหลวงใหญ่มาปกครองมณฑลลาวกาว ซึ่งมีที่ตั้งมณฑลอยู่ที่เมืองอุบลฯ ได้เห็นการบาดเจ็บล้มตายของชาวบ้านจากงานประเพณีบุญบั้งไฟ ซึ่งมีทั้งบาดเจ็บล้มตายเพราะบั้งไฟระเบิดหรือตกใส่บ้านเรือน หรือบาดเจ็บล้มตายเพราะการทะเลาะวิวาทตีรันฟันแทงเพราะความเมามายในสุรา หรือบางครั้งเพราะการละเล่นโคลนตมที่สนุกสนานเกินเลย หรือการละเล่นตุ๊กตาไม้ในท่าทางร่วมเพศตามแบบฉบับของงานบุญบั้งไฟ เรื่องต่างๆ เหล่านี้พระองค์ท่านทรงเห็นว่าเป็นเรื่องไม่ดีไม่งาม จึงให้ยกเลิกการจัดงานบุญบั้งไฟและให้เปลี่ยนเป็นการแห่เทียนพรรษาแล้วนำไปถวายพระแทน

 เทียนพรรษา ในสมัยพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิ์ประสงค์นั้นจะเป็นการทำเทียนร่วมกันของชาวบ้านในแต่ละคุ้ม (คุ้ม คือ กลุ่มชุมชนเล็กๆ ของชุมชนใหญ่ ในแต่ละหมู่บ้านจะมีหลายคุ้ม) โดยการนำขี้ผึ้งมารวมกัน ต้มให้ละลายแล้วเทใส่เบ้าหลอม ตกแต่งให้สวยงามแล้วใส่คานหามหรือบรรทุกใส่เกวียน นำเข้าขบวนแล้วแห่ไปรวมกันที่หน้าศาลากลางมณฑล เมื่อทุกคุ้มมารวมพร้อมกันแล้ว พระองค์จะประทานรางวัลให้กับคุ้มที่ทำต้นเทียนได้สวยงาม เสร็จแล้วจะให้จับฉลากว่าคุ้มไหนจะถวายเทียนวัดอะไร เมื่อรู้ว่าจะไปถวายวัดอะไรแล้วแต่ละคุ้มก็จะแห่แหนไปถวายวัดนั้น การแห่เทียนพรรษาจึงเริ่มมีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

         การทำเทียนพรรษาของชาวบ้านแต่ละคุ้มในระยะแรกนี้ จะเป็นเทียนที่สามารถจุดใช้งานได้จริง มีขนาดเท่ากับต้นไผ่ (เพราะใช้ต้นไผ่เป็นเบ้าหลอม) บางคุ้มก็จะเท่ากับต้นกล้วย แล้วแต่ว่าคุ้มไหนจะหาเบ้าหลอมและหาขี้ผึ้งได้มากน้อยแค่ไหน ผิวต้นเทียนจะเรียบมันไม่มีลวดลาย แต่จะแต่งต้นเทียนโดยใช้กระดาษสีตัดเป็นเส้นหรือเป็นลวดลาย แล้วนำมาพันรอบต้นเทียนหรือติดกับต้นเทียนเป็นกลุ่มลวดลายต่างๆ บางคุ้มก็จะใช้วิธีนำเทียนเล่มเล็กๆ มามัดรวมกันให้เป็นเทียนต้นใหญ่ หรือบางครั้งประหยัดเงินค่าเทียนก็จะใช้ไม้กลมๆ หรือไม้เสาทำเป็นแกนแล้วนำเทียนมัดรอบแกนเสา ตกแต่งด้วยกระดาษเพื่อไม่ให้เห็นเชือกที่มัด (วิธีนี้เริ่มขึ้นเมื่อมีเทียนสมัยใหม่และมีขายทั่วไปแล้ว จึงเป็นการประหยัดเวลาเพราะไม่ต้องต้มขี้ผึ้ง)
  เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีประกอบกับมีการแข่งขันให้รางวัล คุ้มที่ตกแต่งต้นเทียนได้สวยงามแปลกแตกต่างไปจากต้นเทียนคุ้มอื่น จึงมักจะได้รับรางวัลชนะเลิศอยู่เสมอ การประดับตกแต่งต้นเทียนแบบใหม่ๆ จึงเกิดขึ้น นั่นคือจากเดิมที่ใช้กระดาษติดเป็นลวดลายต่างๆ ก็เปลี่ยนเป็นการใช้ขี้ผึ้งหล่อลวดลายจากแบบพิมพ์ก่อนแล้วจึงนำไปติดที่ต้นเทียน ซึ่งจะทำให้ต้นเทียนมีความสวยงามกว่าติดด้วยกระดาษ ต้นเทียนคุ้มที่ตกแต่งแบบนี้จึงมักจะได้รับรางวัลชนะเลิศอยู่เสมอๆ เช่นเดิม เมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายปี การตกแต่งแบบติดพิมพ์ด้วยเทียนก็ซ้ำซากจำเจ คุ้มที่อยากชนะจึงต้องหาวิธีตกแต่งต้นเทียนที่แปลกแตกต่างออกไป การแกะสลักลงไปในเนื้อต้นเทียนให้เป็นรูปและลวดลายต่างๆ จึงเกิดขึ้น และคุ้มที่จัดทำแบบนี้ก็ได้รับชัยชนะ เมื่อการตกแต่งต้นเทียนให้สวยงามมีวิธีการแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการแบ่งประเภทต้นเทียนและให้มีรางวัลชนะเลิศแต่ละประเภทเกิดขึ้น ต้นเทียนในเวลาต่อมาจึงมีสองแบบ คือ แบบติดพิมพ์และแบบแกะสลัก





อย่างไรก็ตามทั้งสองแบบก็ยังเป็นแต่เพียงต้นเทียนอย่างเดียว ไม่มีองค์ประกอบอื่นมากมายนัก โดยเฉพาะฐานต้นเทียนก็เป็นฐานที่ทำขึ้นเพื่อไม่ให้ต้นเทียนล้มเท่านั้น คุ้มที่อยากชนะจึงต้องหาวิธีตกแต่งที่แตกต่างออกไปอีกเช่นเดิม ด้วยเหตุนี้การตกแต่งฐานต้นเทียนให้แปลกแตกต่างไปจากเดิม โดยเฉพาะการตกแต่งให้เป็นรูปลอยตัว ของสัตว์ในวรรณคดีหรือเรื่องราวทางพุทธประวัติ ในอากัปกริยาต่างๆ ก็เกิดขึ้น เช่นเดิมคุ้มที่จัดทำแบบนี้ก็ชนะ และถ้าคุ้มอื่นทำตามคุ้มที่อยากชนะในปีต่อไปก็จะทำให้แปลกแตกต่างๆ หรือทำให้ใหญ่ ให้มากขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นเรื่องราวเหตุการณ์ทางวรรณคดีหรือทางพุทธประวัติที่ครบสมบูรณ์ในต้นเทียนต้นเดียวหรือขบวนเดียว ผู้ชมดูแล้วเพลิดเพลิน ได้ความรู้ ได้อรรถรส อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน

         ด้วยต้นเทียนและการแห่เทียนพรรษาของเมืองอุบลฯ มีมานานนับร้อยปี จึงมีวิวัฒนาการมากมายหลายแบบหลายมิติดังที่กล่าวมา จากการแห่เทียนธรรมดาที่เรียบง่ายเป็นการแห่เทียนที่มีการร้องรำทำเพลงและการแสดงต่างๆ มากมาย จากการรวมกลุ่มร่วมมือร่วมแรงของชาวบ้านคุ้มต่างๆ ในราคาถูกเป็นการจัดทำของกลุ่มชาวบ้านกลุ่มพ่อค้าและข้าราชการต่างๆ ที่มีราคาแพง จากการแบกหามบรรทุกใส่เกวียนเป็นการบรรทุกใส่รถ จากรถคันเล็กเป็นรถคันใหญ่ จากรถคันใหญ่เป็นรถหลายคัน จากรถคันสั้นเป็นรถคันยาว จากรางวัลเพียงไม่กี่บาทก็เป็นรางวัลหลายแสนบาท จากการดำเนินงานตามลำพังของจังหวัดอุบลฯ ก็เป็นการดำเนินงานร่วมกันกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จากที่ไม่มีนักท่องเที่ยวก็มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ วิวัฒนาการมากมายหลายแบบหลายมิติเช่นนี้ ด้วยเพราะความอยากให้ต้นเทียนมีความแปลกแตกต่าง มีความสวยงาม มีความยิ่งใหญ่และชัยชนะ


 ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งจากภาคราชการ เอกชน และชาวบ้านคุ้มต่างๆ ในวันนี้ เทียนและการแห่เทียนพรรษาของเมืองอุบลฯ จึงนำมาซึ่งเกียรติยศ ชื่อเสียง ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ สังคม และศิลปวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้เมืองอุบลฯ จึงเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไปทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจของชาวอุบลฯ ยิ่งนัก





หมายเหตุ
 เทียนและการแห่เทียนพรรษาของเมืองอุบลฯ ถึงแม้จะมีความยิ่งใหญ่ สวยงาม วิจิตร ตระการตา ทั้งขบวนแห่และต้นเทียน และมีกิจกรรมประกอบงานมากมาย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็เริ่มจะซ้ำและจำเจในความรู้สึกของคนอุบลฯแล้ว ด้วยเหตุดังที่กล่าวมาคนอุบลฯก็จะคิดหาวิธีการที่แปลกแตกต่างออกไปเพื่อให้ได้สิ่งใหม่ๆ แปลกๆ ตามมา หนึ่งในความแปลก แตกต่าง ที่ได้ยินได้ฟังมานั้น คือ การแห่เทียนทางน้ำ ทั้งนี้เพราะอุบลฯ มีแม่น้ำมูลเป็นแม่น้ำสายสำคัญและไหลผ่านตัวเมืองด้วย การแห่เทียนทางน้ำจะทำให้มีกิจกรรมและวิธีการต่างๆ มากมาย ทั้งทางขวนแห่และการจัดทำต้นเทียน อีกทั้งจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำอีกด้วย (มีผู้เสนอให้แห่ทางน้ำหนึ่งวัน ทางบกหนึ่งวัน เริ่มขบวนแห่ที่หาดคูเดื่อสิ้นสุดที่หาดวัดใต้ ให้มีเรือแพ เรือพาย เรือแข่ง และเรืออื่นๆ เป็นเรือประกอบ มีเรือต้นเทียนเป็นเรือหลัก เรือต้นเทียนจะเป็นเรือสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ในน้ำเป็นเรือพอขึ้นบกวิ่งเป็นรถเข้าขบวนแห่ทางบกได้เลย มีการประกวดทั้งบนบกและในน้ำ เสร็จแล้วนำไปถวายวัดที่อยู่ฝั่งน้ำ เช่น วัดสุปัฎนาราม วัดหลวง วัดใต้ เป็นต้น)

บทความโดย  :  หัวหน้าหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ อุบลราชธานี


                  งานประเพณีแห่เทียนพรรษา เป็นประเพณีทางพุทธศาสนา ของชาวอุบลฯ ซึ่งมีความเจริญในพุทธศาสนา วัฒนธรรม และประเพณีมาเป็นเวลายาวนาน ถือเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดอุบลราชธานี โดยได้กำหนดจัดงานขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 และแรม 1 ค่ำเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา จัดให้มีขึ้นทุกปี

          จากการสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ ได้ความว่า ชาวอุบลราชธานี ได้ทำต้นเทียนประกวดประชันความวิจิตรบรรจงกัน ตั้งแต่ พ.ศ.2470 จนเมื่อปี พ.ศ.2520 จังหวัดอุบลราชธานี ได้จัดงานสัปดาห์ประเพณีแห่เทียนพรรษา ให้เป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่และมโหฬาร สถานที่จัดงานคือ บริเวณทุ่งศรีเมืองและศาลาจตุรมุข มีการประกวดต้นเทียน 2 ประเภท คือ ประเภทติดพิมพ์ และประเภทแกะสลัก โดยขบวนแห่จากคุ้มวัดต่างๆ พร้อมนางฟ้าประจำต้นเทียน จะเคลื่อนขบวนจาก หน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม ไปตามถนน มาสิ้นสุดขบวนที่ทุ่งศรีเมือง และการแสดงสมโภชต้นเทียน แลเป็นแสงไฟต้องลำเทียนงามอร่ามไปทั้งงาน ซึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 เป็นต้นมา งานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี มีชื่องานแต่ละปี ดังนี้

งานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี ประจำปี 2556


               ปี พ.ศ.2556 มีชื่องานว่า "สืบฮีตวิถีชาวอุบลฯ ยลพุทธศิลป์ถิ่นไทยดี" ย้อนตำนาน 112 ปี นับจากที่กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์ได้ดำริให้มีการแห่เทียนพรรษารอบเมืองแทนการแห่บุญบั้งไฟ เมื่อ พ.ศ.2444 อุบลราชธานีมีวัฒนธรรม ประเพณี วิถีที่แสดงออกมาซึ่งความสามัคคีของชาติพันธุ์ที่หลากหลายกระจายทั่วทุก 25 อำเภอ เป็นประเพณีแห่เทียนพรรษาที่สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน เป็นการ "สืบฮีตวิถีชาวอุบล" โด่งดังไปทั่วโลก และงานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี ได้สะท้อนความงามแห่งศิลป์ที่ทรงคุณค่า หลอมรวมกับวิถีชีวิตชุมชน เพื่อเชิดชูพระพุทธศาสนา ยึดมั่นในธรรม ทำให้ชีวิตอยู่ดีมีสุข สงบร่มเย็น และพอเพียง เป็นแก่นแท้แห่งถิ่นไทยดี ที่ชาวอุบลฯ ขอเชิญชวนทุกท่าน "ยลพุทธศิลป์ถิ่นไทยดี" สำหรับปีนี้ กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 1-31 กรกฎาคม 2556

               ปี พ.ศ. 2555 มีชื่องานว่า "111 ปี ลือเลื่อง ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบล"   เพื่อรำลึกในโอกาสครบรอบ 111 ปี นับจากที่กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์ในหัวเมืองมณฑลอีสาน ได้ดำริให้มีการแห่ขบวนเทียนพรรษารอบเมืองเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2444 สำหรับปีนี้ กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึงวันที่ 5 สิงหาคม 2555 ณ บริเวณสนามทุ่งศรีเมือง

               ปี พ.ศ. 2554 มีชื่องานว่า "ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบล"   ใช้ชื่องานต่อเนื่องจากงานประเพณีแห่เทียนพรรษา ปี 2553 กำหนดจะจัดงานระหว่างวันที่ 1-31 กรกฎาคม 2554 ณ บริเวณสนามทุ่งศรีเมือง โดยปีนี้จะมีความพิเศษกว่าทุกปี คือ มีการจัดทำต้นเทียนพรรษาเฉลิมพระเกียรติ เป็นการนำเทียนประเภทแกะสลักและติดพิมพ์ มารวบรวมในต้นเทียนเดียวกัน โดยฝีมือช่างเทียนระดับอาจารย์ 9 ท่าน มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น การเฉลิมฉลองในวโรกาส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 84 พรรษา และเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีของพสกนิกรชาวจังหวัดอุบลราชธานี

               ปี พ.ศ. 2553 มีชื่องานว่า "ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบล"   เนื่องจากเมืองอุบลราชธานี มี “ธรรม” 3 ประการ คือพุทธธรรม ชาวอุบลฯ มีความฝักใฝ่ในธรรม อารยธรรม คืออุดมด้วยอารยทรัพย์ อารยสงฆ์ และธรรมชาติ ตามถิ่นที่ตั้งเมืองอุบล คือ ดงอู่ผึ้ง จึงเป็นความรุ่งเรือง หรือ "ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม" และที่ตั้งเมืองของจังหวัดอุบลราชธานี คือ ดงอู่ผึ้ง ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญในการทำเทียนพรรษา รวงผึ้งอุดมสมบูรณ์มาก สำนักพระราชวัง ได้นำขี้ผึ้งจากจังหวัดอุบลฯ ไปเพื่อทำเทียนพระราชทาน ประกอบกับ อุบลราชธานีมีสกุลช่างทุกสาขาวิชาช่างศิลปะ จึงสามารถรังสรรค์เทียนพรรษา ออกมาได้อย่างวิจิตรบรรจงตามจินตนาการ งามล้ำเทียนพรรษา และเนื่องจากประเพณีแห่เทียนพรรษาเกิดจาก ภูมิปัญญาชาวอุบลฯ  เป็น “ภูมิปัญญาชาวบ้าน” สืบสานเป็น “ภูมิปัญญาท้องถิ่น” ก่อให้เกิด “ภูมิพลังเมือง” สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง ประชาคมเป็นปึกแผ่นมั่นคง แก้ไขปัญหาสำคัญของชาติได้ในการร่วมเป็น “ภูมิพลังแผ่นดิน”

               ปี พ.ศ. 2552 มีชื่องานว่า "ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม บุญล้ำเทียนพรรษา ประชาพอเพียง"   เนื่องจากอุบลราชธานีเป็น "อู่อารยวัฒนธรรม อุดมอรียทรัพย์ อริยสงฆ์ รุ่งโรจน์ศาสตร์ เรืองรองศิลป์ ถิ่นไทยดี" ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม จึงเป็นความรุ่งเรือง สว่างไสว อุดมสมบูรณ์ ในธรรมที่สำคัญยิ่ง 3 ประการ คือ พุทธธรรม อารยธรรม และธรรมชาติ ประกอบกับ การทำบุญเข้าพรรษาที่อุบลราชธานี มีชื่อเสียงมานานนับร้อยปี จึงเป็นที่รวมทำบุญเข้าพรรษาของประชาชนทัวประเทศ รวมถึงนักท่องเที่ยวทั่วโลก ท่านที่มาทำบุญเดือนแปดที่เมืองอุบลฯ จึงเป็นการบำเพ็ญกุศล ได้รับ "บุญล้ำเทียนพรรษา" โดยทั่วหน้ากัน พร้อมกันนี้ ยังได้เสนอเน้นคำขวัญ ประชาพอเพียง ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ประชาชนพลเมือง จะมีความ พอเพียง ได้ ก็ด้วยคุณธรรมความพอเพียง ตามปรัชญาเศรษฐกิจพิเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำชีวิตให้อยู่ดีมีสุข ไม่มีความฟุ้งเฟ้อ ทะเยอทะยาน ยินดีในสิ่งที่ได้ พอใจในสิ่งที่มี งเป็นที่มาของชื่องานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี ปี 2552

               ปี พ.ศ. 2551 มีชื่องานว่า "เมืองอุบลบุญล้นล้ำ บุญธรรม บุญทาน สืบสานตำนานเทียน"   เนื่องจากอุบลราชธานี มีสมญานามว่า "เมืองแห่งดอกบัวงาม" ซึ่งดอกบัว เป็นพฤกษชาติที่มีคติธรรมทางพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง อุบลราชธานีจึงมีวัฒนธรรมประเพณี ทำบุญทุกๆ เดือน คือการยึดถือ ฮีตสิบสองคองสิบสี่ (ฮีตสิบสอง คือจารีตที่ปฏิบัติแต่ละเดือน ตลอดปี จนเป็นประเพณีสืบต่อมา) ประเพณีแต่ละอย่างในฮีตสิบสอง ล้วนมีแต่ชื่อ ขึ้นต้นว่าบุญ หมายถึง ประเพณีที่มุ่งการทำบุญเป็นสำคัญ อุบลราชธานีจึงมี บุญล้นล้ำ ทั้งบุญธรรม บุญทาน อีกทั้ง งานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี ก็มีมาแต่โบราณ โดยเริ่มจากในสมัยแรกๆ เป็นเทียนเวียนหัว มัดรวมติดลาย วิวัฒนาการมาจนเป็น หลอมเทียน หลอมใจ หลอมบุญ สืบสานมาจนถึงปัจจุบัน จึงเป็นที่มาของชื่องานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี ปี 2551

               ปี พ.ศ. 2550 มีชื่องานว่า "ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม เลิศล้ำ เทียนพรรษา ปวงประชาพอเพียง"  เนื่องจากเป็นปีมหามงคล เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรปวงชนชาวไทย และการน้อมนำแนวพระราชดำรัสมาใช้ดำรงชีวิต

               ปี พ.ศ. 2549 มีชื่องานว่า "60 ปี พระบารมีแผ่ไพศาล งามตระการเทียนพรรษา เทิดราชัน" เพื่อแสดงความจงรักภักดี ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี

               ปี พ.ศ. 2548 มีชื่องานว่า "น้อมรำลึก 50 ปี พระบารมีแผ่คุ้มเกล้าฯ ชาวอุบลฯ" เนื่องจากเมื่อวันที่ 16-17 พฤศจิกายน 2498 ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ ได้เสด็จเยือนอุบลราชธานี ยังความปลาบปลื้มปิติแก่ชาวอุบลฯ เป็นล้นพ้น เพราะตั้งแต่สร้างบ้านเมืองมาเกือบ 200 ปี ยังไม่เคยมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดเสด็จเยี่ยม หรือทรงใกล้ชิดกับราษฎรอย่างไม่ถือพระองค์เช่นนี้ ชาวอุบลฯ ทุกหมู่เหล่า ต่างพร้อมน้อมรำลึกด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเหล้าล้นกระหม่อม พระบารมีแผ่คุ้มเกล้าฯ ชาวอุบลฯ ปิติล้นพ้น ตลอดระยะเวลา 50 ปี ที่ผ่านมาและตลอดไป

               ปี พ.ศ. 2547 มีชื่องานว่า "ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามล้ำเทียนพรรษา เทิดไท้ 72 พรรษา มหาราชินี" เนื่องจากเป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนารถ พระแม่-แม่พระ ของแผ่นดิน

               ปี พ.ศ. 2546 มีชื่องานว่า "สืบศาสตร์ สานศิลป์" เนื่องจากงานประเพณีแห่เทียนพรรษาเป็นการ "สืบทอดศาสนาและสืบสานงานศิลปะ" ดังคำกล่าวที่ว่า "เทียนพรรษา คือ ภูมิศิลปะแห่งศรัทธา" เพื่อความกระชับ จึงใช้ ชื่อว่า "สืบศาสน์ สานศิลป์" แต่โดยเหตุที่มีผู้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า คำว่า "ศาสตร์" มีความหมายกว้างกว่า ชื่องานจึงเป็น "สืบศาสตร์ สานศิลป์" ด้วยเหตุนี้

               ปี พ.ศ. 2545 มีชื่องานว่า "โรจน์เรือง เมืองศิลป์" ด้วยเหตุที่ ททท.ได้เลือกงานแห่เทียนพรรษจังหวัดอุบลราชธานี เป็นงานที่โดดเด่นที่สุดของประเทศในเดือนกรกฎาคม ตามโครงการ "เที่ยวทั่วไทย ไปได้ทุกเดือน" จึงจัดให้มีกิจกรรมการท่องเที่ยวตลอดเดือน อาทิ ได้เชิญช่างศิลป์นานาชาติประมาณ 15 ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ จีน ญี่ปุ่น มาร่วมแข่งขันการแกะสลักขี้ผึ้งตามสไตล์งานศิลปะแต่ละชาติ มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก มาชมงานตลอดทั้งเดือนกรกฎาคม 2545 ชื่องาน "โรจน์เรือง เมืองศิลป์" เป็นคำย่อมาจากคำเต็มที่ว่า "อุบลฯ เมืองนักปราชญ์ รุ่งโรจน์ศาสตร์ เรืองรองศิลป์ ถิ่นไทยดี"

               ปี พ.ศ. 2544 มีชื่องานว่า "งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบลฯ" เนื่องจากเทียนพรรษาได้วิวัฒนาการไปจาก "ภูมิปัญญาดั้งเดิม" จนแทบจะจำเค้าโครงแต่โบราณไม่ได้ จึงได้มีการหันกลับมาทบทวนการจัดงานแห่เทียนพรรษา ตามภูมิปัญญาของชาวอุบลฯ ตั้งแต่เดิมมา

          ปี พ.ศ. 2543 มีชื่องานว่า "หลอมบุญบูชา ถวายไท้นวมินทร์" มีความหมายว่า การหล่อเทียนพรรษาของชาวอุบลฯ เพื่อบำเพ็ญกุศลร่วมกัน การหล่อหลอมจิตศรัทธาให้เป็นหนึ่งเดียว เปรียบประดุจการหลอมบุญบูชา เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายแด่องค์พระมหากษัตริย์

               ปี พ.ศ. 2542 มีชื่องานว่า "งานแห่เทียนพรรษา เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา มหาราชา" เนื่องจากเป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นที่มาของ "เทียนเฉลิมพระเกียรติฯ" ที่ทุ่งศรีเมือง

                    กำหนดการและข่าวการจัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษา ประจำปี 2556




วันที่ 22 มิถุนายน 2556 - แถลงข่าวงานเทศกาลประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา ปี 2556
  - พิธีปล่อยขบวนสมโภชต้นเทียนพรรษาพระราชทาน
วันที่ 1-31 กรกฎาคม 2556 - เอ้เมือง เรืองโรจน์
วันที่ 9-22 กรกฎาคม 2556 - เยือนชุมชนคนทำเทียน
วันที่ 17 กรกฎาคม 2556 - ลั่นกลองโฮม ฮ่วมบุญเข้าพรรษา
วันที่ 17-23 กรกฎาคม 2556 - ถนนสายเทียน ถนนสายธรรม
วันที่ 20 กรกฎาคม 2556 - เสพงันมโหรี มหาดุริยางค์ 1,250 คน
วันที่ 20-21 กรกฎาคม 2556 - สืบศาสตร์ สานศิลป์ เทียนถิ่นไทยดี
วันที่ 20-22 กรกฎาคม 2556 - การแสดงขับร้องบทเพลงย้อนยุค และรำวงย้อนยุค อย่างเต็มรูปแบบ
วันที่ 20-23 กรกฎาคม 2556 - ของฝาก ของต้อน
  - งานพาแลง ตลาดยามเย็น ย้อนยุค
วันที่ 21-23 กรกฎาคม 2556 - สว่างไสว ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม
  - ชมการแสดงม่านน้ำ
วันที่ 21 กรกฎาคม 2556 - การแสดงจำอวดหน้าม่าน จากรายการคุณพระช่วย
วันที่ 22 กรกฎาคม 2556 - งานพาแลง เบิ่งแญงสาวงามเทียนพรรษา
  - วิจิตรอลังการ งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบล
  - พิธีมหาเวียนเทียนวันอาสาฬหบูชา
วันที่ 22-23 กรกฎาคม 2556 - แห่ฟ้อนบูชา ราชธานีแห่งเทียน
วันที่ 23 กรกฎาคม 2556 - พิธีเปิดงานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี ประจำปี 2556
  - ถวายเทียนพรรษาพระราชทาน และผ้าอาบน้ำฝนพระราชทาน
  - พิธีมอบรางวัลต้นเทียนที่ชนะการประกวด
  - การแสดงประกอบแสง เสียง ขบวนแห่เทียนภาคกลางคืน
วันที่ 23-25 กรกฎาคม 2556 - โชว์ต้นเทียนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ทั้งประเภทแกะสลัก และติดพิมพ์

ที่มา ;  www.GuideUbon.com





วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ภูมิปัญญาท้องถิ่น จังหวัดอุบลราชธานี



ภูมิปัญญาชาวบ้าน

อำเภอสำโรง มีภูมิปัญญาด้านการบริหารจัดการองค์กรชุมชน สวัสดิการชุมชน ที่สำคัญ เช่น องค์กรชุมชน กลุ่มเกษตร ทำกิจกรรมในด้านการเกษตร การส่งเสริมรายได้เพื่อการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน เป็นต้น เป็นภูมิปัญญาที่จัดอยู่ในระดับสูงมาก
ภูมิปัญญาด้านหัตถกรรม
                          เป็นภูมิปัญญาระดับสูง ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญ คือ ผ้าไหม หมอนขิด เสื่อเตย 
ภูมิปัญญาด้านเกษตรกรรม
            โภชนาการ อาหารแปรรูป มีศักยภาพค่อนข้างสูง มีผลิตภัณฑ์ คือ พริก  แตงโมถั่วลิสง พืชบำรุงดิน
ภูมิปัญญาด้านศิลปวัฒนธรรม ประเพณี
        การอนุรักษ์ศิลปะพื้นบ้าน ถือได้ว่ามีศักยภาพภูมิปัญญาอยู่ในระดับปานกลางเป็นที่รู้จักดีในท้องถิ่น เช่น วงลูกทุ่งหมอลำ  กลองยาว นักร้อง  นักดนตรี เป็นต้น
สิ่งที่เป็นผลิตภัณฑ์โดดเด่นของภูมิปัญญา
ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น ของชาวอำเภอสำโรง  คือ ผ้าทอขิด ผ้าไหม ตำบลสำโรง จักสานหมวกใบตาล ตำบลโคกก่อง ผ้าขาวม้า ตำบลค้อน้อย เสื่อทอใบเตย  เช่น กลุ่มแม่บ้าน  ซึ่งจะนำเสนอ ดังนี้ 
                  กลุ่มแม่บ้านทอผ้ากาบบัว
 หลังจากเสร็จฤดูทำนา  กลุ่มแม่บ้าน ตำบลหนองไฮ  จะมารวมกลุ่มกันประมาณ 15  คน  เพื่อทอผ้ากาบบัว  ซึ่งสามารถสร้างรายได้ เดือนล่ะ ไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท
             “ ผ้ากาบบัว” เป็นผ้าเอกลักษณ์ประจำจังหวัดอุบลราชธานี มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 จนถึงปัจจุบัน ยังมีกระแสการตอบรับนิยมชมชอบผ้ากาบบัวตลอดมา ซึ่งสร้างโอกาส สร้างรายได้ ให้แก่ประชาชนฐานรากหญ้าได้เป็นอย่างดี โดยเมื่อปี 2547 ผ้ากาบบัวได้รับการคัดสรร เข้าสู่โครงการ “หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” (OTOP) เนื่องจาก เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมาตรฐาน ได้รับการยอมรับทั้งภายในและภายนอกประเทศ อีกทั้งยังได้รับการคัดสรรเป็นผลิตภัณฑ์ระดับ 5 ดาว ในระดับประเทศ อีกด้วย 
นางเพ็ญศรี สาริพันธ์ สมาชิกกลุ่มทอผ้ากาบบัวบ้านนานวล ตำบลหนองไฮ กล่าวว่า กลุ่มแม่บ้านทอผ้ากาบบัวบ้านนานวล ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2548  มีสมาชิกทั้งหมดจำนวน กว่า 30 คน ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มแม่บ้านที่ว่างเว้นจากการทำนา และใช้เวลาว่างรวมกลุ่มกันเพื่อทอผ้ากาบบัวจำหน่าย โดยจะมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อถึงที่  ซึ่งสามารถผลิตได้ครั้งล่ะไม่ต่ำกว่า 42 เมตร โดยใช้ระยะเวลาในการผลิต 5-6 วัน นอกจากนี้ทางกลุ่มจะนำไปจำหน่ายในช่วงเทศกาลต่าง ๆ  เช่น เทศกาลเข้าพรรษา 
งานกาชาด และงานประเพณีบุญบั้งไฟ ทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัด ซึ่งได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ส่งผลให้สมาชิกภายในกลุ่มมีรายได้คนละ 10,000 บาทต่อเดือน ถึงแม้ว่าในปีนี้กระแสการซื้อ- ขาย ผ้ากาบบัวในปีนี้ ลดลงกว่าปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังจำหน่ายได้เรื่อย ๆ ซึ่งสาเหตุมาจากปัจจัยหลายประการไม่ว่าจะเป็น สภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ราคาน้ำมัน และความไม่สงบภายในประเทศ เป็นต้น ส่วนลวดลายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดได้แก่ ลายดอกแก้ว ดอกพิกุล และผ้ากาบบัวลายน้ำไหล
กลุ่มทอเสื่อจากต้นเตย
            หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของตำบลโนนกาเล็น อำเภอสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี ของเราก็คือ "การทำเสื่อเตย" เตยที่นำมาใช้ทำเป็นเตยหนาม ขนาดลำต้นสูง 1.5-3.0 เมตร ชาวบ้านมักจะปลูกไว้ใกล้บ้าน หรือในพื้นที่ที่มีน้ำขัง ขั้นตอนการทำเสื่อนั้น จะต้องนำใบเตยหนามที่เก็บมาได้ไปซีกเป็นเส้นยาว นำไปตากแดดให้แห้ง แล้วนำมาย้อมสี ตากให้แห้งอีกครั้ง แล้วจึงนำมาทอเป็นผืน ชาวบ้านมักจะทอเสื่อได้ใช้เองที่บ้าน หากเหลือใช้ก็จะนำไปขายผืนละ 150 - 300บาท แล้วแต่ขนาดของเสื่อ จากภาพแม่บ้านของบ้านสว่าง ตำบลโนนกาเล็น อำเภอสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี กำลังทอเสื่อไว้ใช้เองที่บ้าน หากเหลือใช้ก็จะนำไปขายเพื่อเป็นรายได้เสริมจากอาชีพหลักคือการทำนา นับว่าเป็นการนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี
            
ลักษณะของต้นเตย จะมีขนาดลำต้นสูงประมาณ 1.5 – 3.0 เมตร ใบเรียวยาว  มีหนามด้านข้าง  ชาวอำเภอสำโรงนิยมปลูกใกล้บ้าน  และปลูกในปริมาณไม่มาก ประมาณ 2 – 3  ไร่  เท่านั้น  
กลุ่มทำกระติบข้าว
            "กระติบข้าวหลากสีสันสวยงาม" เหล่านี้ เป็นฝีมือของแม่บ้านของบ้านสว่าง ตำบลโนนการเล็น อำเภอสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งความภูมิใจของเรา ลวดลายสวยงามจากเชือกเส้นเล็กหลากสีที่ถักลงบนกระติบข้าวหลายรูปแบบ เกิดจากการเรียนรู้งานศิลปหัตถกรรมนี้จากจังหวัดร้อยเอ็ดของคนในหมู่บ้าน นำมาถ่ายทอดความรู้ให้แก่กัน แล้วผลิตงาน "กระติบข้าวหลากสีสวยงาม" ออกจำหน่ายทั้งในหมู่บ้านใกล้เคียง และในอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี






วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ประวัติส่วนตัว


 ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาว  วรรณภา   ศรีชมภู     ชื่อเล่น ปู
อายุ17ปี  เกิดวันที่ 27 สิงหาคม  2538   เลือดกรุ๊ป AB
อาศัยอยู่กับ บิดามารดา ที่บ้านเลขที่102/1  ม.1  ตำบลนาเจริญ  อำเภอ เดชอุดม           
จังหวัดอุบลราชธานี
มีพี่น้อง3คน พี่สาว1 คน  น้องสาว 1คน  ดิฉันเป็นบุตรคนที่2
เรียนอยู่ที่  โรงเรียนนากระแซงศึกษา  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่6/1
นิสัย   ร่าเริง ยิ้มเก่ง  พูดมาก
คติประจำใจ  ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ   สูงต่ำอยู่ทำตัว
อนาคต  อยากเป็นครู